วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Wednesday 30 March 2016

 Recent Post  10
Creative Thinking Experiences Management for Early Childhood
Wednesday 30 March 2016




Knowledge (ความรู้ที่ได้รับ)

การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย





รูปแบบการจัดการศึกษา
  •การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
  •การศึกษาพิเศษ (Special Education)
  •การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
  •การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)


การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
  •เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
  •การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
  •มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
  •ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
  •ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
  •การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
  •เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
  •เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
  •การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
  •เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
  •การศึกษาสำหรับทุกคน
  •รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
  •จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

Wilson , 2007
  •การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
  •การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
  •กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
  •เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง

"Inclusive Education is Education for all, 
It involves receiving people 
at the beginning of their education, 
with provision of additional services 
needed by each individual"

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
  •เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
  •เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
  •เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All)
  •การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
  •เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
  •เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
  •ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก

ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
  •ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
  •“สอนได้”
  •เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด

บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัย
  •การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
  •จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
  •เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
  •ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
  •เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
  •พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
  •พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
  •ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
  •ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
  •ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา

ครูทำอะไรบ้าง
  •ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
  •ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
  •สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
  •จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ

สังเกตอย่างมีระบบ
  •ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
  •ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
  •ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
  •จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
  •เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
  •บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
  •ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
  •ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
  •พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

การบันทึกการสังเกต
  •การนับอย่างง่ายๆ
  •การบันทึกต่อเนื่อง
  •การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

การนับอย่างง่ายๆ
  •นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
  •กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
  •ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

การบันทึกต่อเนื่อง
  •ให้รายละเอียดได้มาก
  •เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
  •โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
  •บันทึกลงบัตรเล็กๆ
  •เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง

การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
  •ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
  •พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ

การตัดสินใจ
  •ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
  •พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่



วาดภาพดอกบัวและบรรยายดอกบัวที่เราวาด


สิ่งที่เห็น
ดอกบัวสีชมพูกำลังแย้มบาน ดอกบัว ค่อยๆ บาน มีหลากสี ส้ม เหลือง ชมพู มีน้ำสีฟ้ารำไร


สรุปกิจกรรมวาดภาพดอกบัว
การวาดภาพดอกบัวและการบรรยาย เปรียบเสมือนเด็กพิเศษ 
เราเห็นอะไรในตัวเด็กก็ควรเขียนตามความจริงไม่ใช้ความรู้สึกเขียน



skills (ทักษะที่ได้รับ)
-ทักษะการ ถาม-ตอบ
-ทักษะการฟัง
- ทักษะการความคิดสร้างสรรค์

Adoption (การนำไปใช้)
- เรียนรู้ในวันนี้ไปใช้ในการเรียนการสอนเรียนแบบเรียนรวมไปใช้ในการสอนเด็กต่อไป

Evaluation (การประเมิน)
Instructor Rating (ประเมินผู้สอน) บอกถึงวิธีการสอนแบบเรียนรวมได้เข้าใจ
Rating friends (ประเมินเพื่อน)  ให้ความร่วมมือในการเรียนการสอนและทำกิจกรรมกันทุกคน
Self-evaluation (ประเมินตนเอง) เข้าใจในเนื้อหาที่อาจารย์สอนในการเรียนรวมมากขึ้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น